วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์จากส่วนต่างๆ

ประโยชน์ของสับปะรด   
สับปะรดมีส่วนต่าง ๆ  ที่ใช้ประโยชน์ได้กว้างขวาง  ดังนี้   
1.  เนื้อ 
ใช้รับประทานสดหรือแปรรูปเป็นสับปะรดแช่อิ่ม  สับปะรดกวน  สับปะรดแห้ง  แยมสับปะรด หรือ  บรรจุกระป๋อง และคั้นทำน้ำสับปะรด  ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้เนื้อสับปะรดผสมกับปลาและเกลือหมักไว้ทำเป็นอาหารที่เรียกว่า "เค็มหมากนัด"  
2.  ผลพลอยได้จากเศษเหลือ
เศษเหลือของสับปะรดส่วนใหญ่จากอุตสาหกรรมบรรจุกระป๋อง  สามารถนำมาแปรรูปทำอย่างอื่นได้  เช่น
2.1  น้ำเชื่อม
2.2  แอลกอฮอล์
2.3  น้ำส้มสายชู และไวน์
2.4   อาหารสำหรับเลี้ยงวัว                                                                                                                                                                 
2.5  กรดอินทรีย์ ชนิด คือ กรดซิตริก  กรดมาลิก และกรดแอสคอร์บิก  
3.  ใบ
3.1  เส้นใยจากใบสับปะรด  นำมาทอเป็นผ้าใยสับปะรด  ในฟิลิปปินส์เรียกว่า "ผ้าบารอง" ราคาแพง  นิยมตัดเป็นชุดสากลประจำของชาติฟิลิปปินส์และไต้หวัน
3.2  เยื่อกระดาษจากใยสับปะรด  จะได้กระดาษที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ความบางมาก  มีผิวนุ่มเนียน  สามารถบิดงอหรือเปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย  โดยไม่เสียหาย  ในหลายประเทศใช้เป็นกระดาษสำหรับพิมพ์ธนบัตร 





























   4.  เปลือก
การใช้เปลือกสับปะรดเลี้ยงวัว 
 เศษเหลือทิ้งจากโรงงานสับปะรด คือ
เปลือกและแกนกลางซึ่งจะมีน้ำอยู่สูงถึงร้อยละ 90  เมื่อคิดต่อน้ำหนักสดส่วนเหลือทิ้งจะมีโปรตีนและโภชนะย่อยได้ทั้งหมดประมาณร้อยละ 0.7 และ เมื่อคิดต่อน้ำหนักแห้งจะมีค่าโปรตีนและโภชนะย่อยได้สูงถึงร้อยละ 7 และ 70 ตามลำดับ
ปกติวัวชอบกินเปลือกสับปะรด  ยิ่งเปลือกที่ทิ้งไว้ 2-3 วัน  สีออกเป็นน้ำตาลเทา ๆ มีกลิ่นเหม็นเล็กน้อย  วัวจะชอบกินมากกว่าเปลือกสด
ดังนั้น  หากเลี้ยงวัวในแหล่งที่มีโรงงานสับปะรด  จึงใช้เปลือกสับปะรดเป็นอาหารเลี้ยงวัวได้ทั้งฝูง และวัวขุน
โดยนำเปลือกมากองทิ้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง  จึงใช้เป็นอาหารเลี้ยงวัวได้เป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด  แต่ให้ผลตอบแทนสูง

 5. จุก
เติบโตขึ้นเหมือนสับปะรดหลังจากดอกดรยไปแล้ว จุกจะมีน้ำหนักทั่วไปตั้งแต่อายุ 0.075-0.2 กิโลกรัม ให้ผลตามธรรมชาติเมื่อมีอายุ 22- 24 เดือน
สับปะรด อัศวินแห่งผลไม้

สรรพคุณของสับปะรด

      สับปะรด...มีสรรพคุณในการช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีน วิตามินซี ในสับปะรดช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดอออกตามไรฟัน ช่วยลดการอักเสบ บวม และใช้เป็นยาขับถ่ายปัสสาวะเพิ่มฤทธิ์รักษามะเร็ง ในปัจจุบันมียาที่ผลิตจากเอนไซม์สับปะรด มี สรรพคุณใช้เป็นยาแก้อักเสบโดยใช้ชื่อว่า อนาเนสฟอร์เต้หากแยกผลสับปะรดออกเป็นส่วนๆจะได้สารอาหารหลักดังนี้
 เหง้า มี Protein
 ลำต้น มี Bromelain, Peroxidase, Amylase, Proteinase    
 ใบ มี Hemicellulose, Bromelain, Campestanol
  ผล มี Acetaldehyde, Ethyl acetate, Acetone
  น้ำมันหอมระเหย มี Isobutanol.

 ส่วนต่างๆ ของสับปะรดใช้ประโยชน์ได้ดังนี้

ราก -แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี แก้หนองใน แก้มุตกิดระดูขาว แก้ขัดข้อ
หนาม - แก้พิษฝีต่างๆ แก้ไข้ ลดความร้อน ไข้พา ไข้กาฬ 
ใบสด - เป็นยาถ่าย ฆ่าพยาธิในท้อง ยาขับปัสสาวะ แก้กระษัย   
ผลดิบ - ใช้ห้ามโลหิต แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ฆ่าพยาธิ และขับระดู
ผลสุก - ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ และบำรุงกำลัง ช่วยย่อยอาหาร แก้หนองใน มุตกิด กัดเสมหะในลำคอ
ไส้กลางสับปะรด – แก้ขัดเบา
เปลือก - ขับปัสสาวะ แก้กระษัย ทำให้ไตมีสุขภาพดี
จุก - ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้หนองใน มุตกิดระดูขาว
แขนง – แก้โรคนิ่ว
ยอดอ่อนสับปะรด - แก้นิ่ว

คุณประโยชน์โดยรวมจากสับปะรด                     
         ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...สับปะรด เป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ในบ้านเราตลอดทั้งปี มีประโยชน์ต่อสุขภาพจนไม่ควรมองข้าม เรามาทำความรู้จักประโยชน์ของสับปะรดกันดีกว่า

1. ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ การรับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้นจึงเป็นการเพิ่มแรงต้านทานโรคให้แก่ร่าง กายแต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก
2. ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารอาหารมากซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และเป็นที่รู้กันอยู่ว่ากากใยอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือดและช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง
3. ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของ เซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย
4. ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านม เพราะสับปะรด มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งรังไข่
5. ช่วยป้องกันโรคต่างๆ การรับประทานผักและผลไม้ให้ได้วันละ 5 กำมือจะช่วยลดการเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมะเร็งได้ถึง 20%การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียวๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน
6. ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้
7. ช่วยยับยั้งการอักเสบ เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดจะช่วยยับยั้งการอักเสบ ทั้งนี้ ชาวอเมริกาใต้โบราณใช้สับปะรดเป็นยารักษาโรคผิวหนังและรักษาบาดแผล
แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินพอประมาณ เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่นๆ ให้หลากหลายด้วย เพราะการกินอะไรที่มากเกินไปก็ย่อมให้ผลเสียทั้งนั้น
สับปะรดกับการรักษาโรค
สับปะรดแก้อาการขัดเบา
             แก้อาการขัดเบา ช่วยขับปัสสาวะ โดยใช้เหง้าสดหรือแห้งวันละ  1 กำมือ (สด หนัก 200-250 กรัม แห้ง หนัก 90-100กรัม) ต้มกับน้ำดื่ม ครั้งละ 1ถ้วยชา (75มิลลิลิตร) ใช้ดื่มวันละ3 ครั้ง ก่อนอาหาร

           เพราะในเหง้าและตะเกียงของสับปะรด มีสรรพคุณใช้ดื่มขับปัสสาวะ ขับนิ่ว แก้มุตกิด (ระดูขาว) ใช้แก้หนองในสารโบรเมเลน อาจจะไปกระตุ้น ให้ร่างกายสร้าง  lgE ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ หอบหืด ผู้มีภูมิแพ้ อาจเกิดอาการแพ้ในระบบทางเดินอาหารได้
สับปะรดรักษามะเร็ง
        นายเทรซี ไมนอตต์ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัยการแพทย์ รัฐควีนส์แลนด์ สหรัฐอเมริกาพบว่า โมเลกุลสองชนิด คือCCZ และของโบรเมเลน ซึ่งเป็นเอนไซม์อย่างหนึ่งที่สกัดจากแกนสับปะรดที่ใช้ในการคลุกกับเนื้อเพื่อให้เปื่อยนุ่ม ใช้ในอุตสาหกรรมทำเบียร์ เพ่อให้น้ำเบียร์ บริสุทธิ์ และอุตสาหกรรมฟอกหนังต่างๆ มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค ให้ตื่นตัวและกำจัดเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็ง ทรวงอก ปอด ลำไส้ รังไข่ และผิวหนัง ซึ่งโมเลกุลทั้งสองออกฤทธิ์มากกว่ายารักษาโรคมะเร็ง ที่ใช้กันอยู่ใน ปัจจุบันทั้งหมด
       นายไมนอตต์จึงเชื่อมั่นว่า สารสกัดจากสับปะรดเป็นยารักษาโรคมะเร็งชนิดใหม่ได้โดยทางสถาบัน ได้ค้นคว้าในเรื่องดังกล่าวมาเป็นเวลา 2 ปี เพื่อหาวิธีนำสารสกัดดังกล่าวมาใช้ให้ได้ผลโดยปลอดภัยและหากพบความสำเร็จจะผลิตยาขึ้นใช้ในไม่ช้านี้

สับปะรดรักษาเบาหวาน
         เตรียมสับปะรด 1 ลูก ปอกเปลือกและตัดตาให้เรียบร้อยพร้อมกับใบโหระพา1 กำมือ ปั่นรวมกันให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำใช้ดื่มวันละ1 เวลา หลังอาหารเย็นทันที ประมาณ1 ถ้วยกาแฟ หากเหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็นไว้รับประทานวันต่อไปได้
ลับปะรดรักษาไตวาย
          เตรียมสับปะรดทั้งเปลือก 1 ลูก กับสารส้ม (บดแล้ว) ประมาณครึ่งช้อนกาแฟ ต้มสารส้มกับสับปะรดโดยน้ำเปล่าให้ท่วมสับปะรด ต้มจนสับปะรดเปื่อยแล้วกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม ประมาณวันละ 1 ถ้วยกาแฟ วันละ 2ครั้ง หลังอาหาร เช้า-เย็น (หากอยู่ในระหว่างแพทย์คุมปริมาณน้ำ) ให้ดื่มน้ำยาในปริมาณที่แพทย์อนุญาต




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น